วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ลักษณะของเด็กวัยประถมศึกษา

ลักษณะของเด็กวัยประถมศึกษา  (อายุ  6  12 ปี)

พัฒนาการทางร่างกาย

                               1.      การเจริญเติบโตของร่างกายของเด็กวัยประถมศึกษา  จะช้ากว่าเด็กวัยอนุบาลโดยทั่วไป  เด็กจะมีรูปร่างสูงและค่อนข้างจะผอมลงกว่าวัยอนุบาล  ตอนแรกราว ๆ  อายุ 6  7  ปี           ของวัยนี้  หรือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1  ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5  อายุระหว่าง 9  10 ปี  เด็กชายและเด็กหญิงจะมีขนาดเท่า ๆ กัน  ทั้งน้ำหนักและส่วนสูง  เด็กชายจะโตกว่าเด็กหญิง  แต่ตอนหลังระหว่างอายุ 12  13 ปี  เด็กหญิงจะโตกว่าเด็กชาย  เพราะเด็กหญิงจะเข้าสู่วัยแรกรุ่น (Puberty)  เร็วกว่าเด็กชายราว ๆ 2 ปี  (Tanner,  1970)


                               2.      ความแตกต่างระหว่างบุคคลในความสูงและน้ำหนัก  จะเห็นได้ชัดในวัยนี้              ถ้าหากครูสอนนักเรียนที่มาจากฐานะเศรษฐกิจและสังคมที่คล้ายคลึงกันมาก  แต่มีนักเรียนที่ตัวเล็กผิดปกติ  ครูควรจะสอบถามเรื่องอาหารที่เด็กรับประทาน  และอาหารที่ถูกส่วนมีความสำคัญในการเจริญเติบโตของเด็กมากจนสังเกตได้จากขนาดของเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะเศรษฐกิจและ           สังคมต่ำ  มักจะเล็กกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวเศรษฐกิจและสังคมสูง

                               3.      เด็กหญิงที่มีความเจริญเติบโตทางร่างกายเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกันมักจะมีปัญหาทางการปรับตัว  จะรู้สึกว่าตนโตกว่าเพื่อนและมีการแยกตัวออกจากเพื่อน  สำหรับเด็กชายที่มี             ความเจริญเติบโตเร็วกว่าเพื่อนร่วมวัยมีการปรับตัวได้ดี

                               4.      พัฒนาการของกล้ามเนื้อกระดูก  และประสาทจะเพิ่มขึ้น  เด็กชายมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อเร็วกว่าเด็กหญิง  การใช้ทักษะของการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกล้ามเนื้อใหญ่ ๆ ใช้การได้ดี           เมื่ออายุประมาณ 7 ปี  การใช้และบังคับกล้ามเนื้อต่าง ๆ  ทั้งใหญ่และย่อยจะดีขึ้นมาก  และสามารถ           ที่จะประสานงานกันได้ดี  ดังนั้น  เด็กวัยนี้จึงสนุกในการลองความสามารถในการกระโดดสูง  กระโดดระยะทางไกล ๆ  กระโดดเชือก  เล่นเตะฟุตบอล  โยนฟุตบอล  และถีบจักรยาน  เด็กวัยนี้จะพยายาม        ที่จะฝึกทักษะทางการเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อน  เด็กบางคนอาจจะทดลองฝึกหัดทักษะใหม่ ๆ       โดยลืมคิดถึงอันตราย  บางครั้งก็เจ็บตัวได้  มีอุบัติเหตุในการเล่น

                          5.      การประสานระหว่างมือและตาของเด็กวัยนี้จะดีขึ้น  เด็กสามารถที่จะอ่านเขียน  และวาดรูปได้ดีขึ้น  กิจกรรมในโรงเรียนควรจะสนับสนุนให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการวาดรูป   และศิลปะต่าง ๆ  เช่น  การปั้นรูป  การแกะสลัก
                             6.             เด็กวัยนี้บางทีจะมีกิจกรรมอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย  และมักจะประกอบกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอยู่เสมอ  เด็กวัยนี้มักจะใช้เวลาส่วนมากอยู่กับเพื่อนทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chotirosj&month=11-2008&date=24&group=1&gblog=42

พัฒนาการด้านร่างกายเด็กประถม

บทนำ

พัฒนาการด้านร่างกายของเด็กวัยประถมต้น (อายุ 6-9 ขวบ) มีการเปลี่ยนแปลงและมีความสามารถเพิ่ม ขึ้นในหลายด้าน เด็กวัยนี้สามารถใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดี ชอบเคลื่อนไหวมากกว่าอยู่เฉย มีการทรงตัวดี คล่อง แคล่ว แม่นยำ และมีกำลังมากขึ้น จึงสามารถกระโดดไกล วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยานสองล้อ เตะฟุตบอล ส่วนกล้าม เนื้อมัดเล็กสามารถใช้การได้ดีขึ้น ระบบประสาทและการเคลื่อนไหวทำงานสอดคล้องกันได้เป็นอย่างดี เด็กวัยประถมต้นจึงใช้มือและนิ้วควบคุมการเคลื่อนไหวของดินสอได้ สามารถวาดรูปเรขาคณิตได้ วาดรูปคนที่มีอวัยวะครบ เขียนตัวอักษร ปั้น และประดิษฐ์สิ่งของได้อย่างประณีตมากขึ้นตามอายุและประสบการณ์เรียนรู้

พัฒนาการด้านร่างกายสำคัญอย่างไร?

เด็กวัยนี้สามารถใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดี และชอบเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและการทำงานประสานกันของอวัยวะสัมพันธ์กัน อันจะมีผลต่อสุขภาพโดยรวมของเด็กในอนาคต แต่การที่จะส่งเสริมให้ร่างกายของเด็กวัยนี้ทำงานคล่องแคล่ว ประสานกัน ต้องอาศัยการฝึกฝนผ่านการทำกิจกรรม ทั้งการทำงานบ้าน การเล่นกีฬา การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะพัฒนาให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง กระฉับ กระเฉง แคล่วคล่องว่องไว มีสมาธิดี ประสาทต่างๆทำงานได้คล่อง ในทางกลับกัน หากเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มุ่งเน้นความสะดวกสบาย เล่นแต่เกม ดูทีวีตลอดทั้งวัน นอนในห้องปรับอากาศ ก็จะหล่อหลอมให้เด็กติดความสบาย และความสนุกเหล่านี้อาจขัดขวางการพัฒนาด้านกล้ามเนื้อใหญ่ตามที่กล่าวมา นอกจากนี้ ช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้ของมนุษย์ คือ ช่วงวัยเด็ก เพราะสามารถพัฒนาสมองได้ถึง 80% ของผู้ใหญ่ ข้อมูลต่างๆที่ผ่านเข้ามาจะไปกระตุ้นสมองของเด็ก ทำให้เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยสมองและเกิดจุดเชื่อมต่อมากมาย ส่งผลให้เด็กเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ สมองของเด็กพัฒนาจากการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะความคล่องตัวของกล้ามเนื้อมัดเล็กจะพัฒนาภายในช่วง เวลา 10 ปีแรก ดังนั้น ถ้าหากเด็กได้ฝึกฝนการใช้มือ การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของมือ จะทำให้สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมอง จุดเชื่อมต่อ และสร้างไขมันล้อมรอบเส้นใยสมองและเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำ งานของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้มาก ทำให้เกิดทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ดังนั้น พ่อแม่และครูควรดูแลให้คำแนะนำ และสังเกตติดตามพัฒนาการของเด็กอย่างใกล้ชิด จะช่วยส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุขได้อย่างเหมาะสม หากพบสิ่งผิดปกติหรือพัฒนา การของเด็กไม่ก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็น จะได้พิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาแต่เนิ่นๆ

เด็กวัยประถมต้น มีสมรรถนะและพัฒนาการด้านร่างกายอย่างไร?

สมรรถนะและพัฒนาการด้านร่างกายของเด็กวัยประถมต้น มีดังนี้
อายุพัฒนาการของการใช้กล้ามเนื้อใหญ่พัฒนาการของการใช้กล้ามเนื้อเล็ก
6 ปี
  • เดินบนส้นเท้าได้
  • เดินต่อเท้าถอยหลังได้
  • ใช้สองมือรับลูกบอลที่โยนมาได้
  • กระโดดไกลประมาณ 120 ซม.
  • วาดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนได้
  • วาดรูปคนมีอย่างน้อย 6 ส่วน
  • เขียนตัวอักษรง่ายๆได้
7 ปี
  • กระโดดขาเดียวได้หลายครั้งต่อกัน
  • เดินถือของหลายชิ้นได้
  • เริ่มขี่จักรยาน 2 ล้อ
  • วาดรูปคนมีรายละเอียดมากขึ้น
  • เขียนตัวหนังสือได้ครบตามแบบ
8 ปี
  • ทรงตัวได้ดี
  • ขี่รถจักรยาน 2 ล้อได้ดี
  • วาดรูปสิ่งที่พบเห็นเป็นสัดส่วนและมีรายละเอียด
  • เขียนตัวหนังสือถูกต้องและเป็นระเบียบ
9 ปี
  • ยืนขาเดียวปิดตา 15 วินาที ทรงตัวได้ดี
  • วาดรูปทรงกระบอกมีความลึกได้
  • รูปร่าง เด็กวัยประถมต้นโดยทั่วไปจะมีรูปร่างสูงและค่อนข้างจะผอมกว่าวัยอนุบาล เด็กชายและเด็ก หญิงจะมีน้ำหนักและส่วนสูงขนาดเท่าๆกัน มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 3-3.5 กิโลกรัมต่อปี และมีความสูงเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 6 เซนติเมตร
  • ฟัน ฟันแท้ซี่แรกเริ่มขึ้นเมื่ออายุ 6 ปี ได้แก่ ฟันหน้าซี่กลางและฟันกรามซี่ที่ 1 บนและล่าง ฟันแท้ส่วนใหญ่จะขึ้นแทนที่ฟันน้ำนมและทยอยขึ้นไปจนถึงอายุ 17-21 ปี ฟันแท้มีทั้งหมด 32 ซี่ เป็นฟันบนและฟันล่างอย่างละ 16 ซี่ ฟันกรามแท้จะเริ่มขึ้นตั้งแต่อายุ 6 ปี ถึง 12 ปี เนื่องจากฟันกรามใช้บดเคี้ยวอาหาร จะมีลักษณะเป็นหลุมร่องมากมาย ทำความสะอาดยาก จึงควรได้รับการเคลือบหลุมร่องฟันเพื่อป้องกันฟันผุ
  • กล้ามเนื้อใหญ่ เด็กวัยประถมต้น จะมีกำลังและทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อซับซ้อนมากขึ้น การใช้และบังคับกล้ามเนื้อต่างๆจะดีขึ้นมาก เด็กจึงชอบการเคลื่อนไหวมากกว่าที่จะอยู่เฉย จึงควรส่งเสริมให้เด็กวัยนี้ได้เล่นกีฬา ได้ออกกำลังกาย ได้เคลื่อนไหว เพราะเด็กสามารถเรียนรู้และพัฒนาความสามารถต่างๆผ่านการเล่น ไม่ว่าจะเป็น ไล่จับ ซ่อนหา หรือเล่นกีฬาต่างๆทั้งว่ายน้ำ เตะฟุตบอล กระโดดเชือก ขี่จักรยาน เป็นต้น การเคลื่อน ไหวจะทำให้สุขภาพแข็งแรง มีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ เด็กบางคนที่มีนิสัยนั่งเฉยๆ หรือไม่ค่อยออกกำลังกายจึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนมากขึ้น
  • กล้ามเนื้อมัดเล็ก เด็กสามารถใช้มือและนิ้วจับดินสอได้ดีมากขึ้น สามารถเขียนหรือวาดรูปต่างๆที่ซับซ้อนขึ้น สามารถทำงานที่ประณีตอย่างงานปั้น งานแกะสลักได้ นอกจากนี้การประสานงานของระบบประสาทและการเคลื่อนไหวก็จะทำงานสอดคล้องกันได้เป็นอย่างดี เด็กจึงมีกิจกรรมต่างๆอยู่ตลอดเวลาและมักจะประกอบกิจกรรมนั้นๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการให้ลูกได้อย่างไร?

พ่อแม่ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายของลูก ดังนี้
  • เสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ด้วยการให้ลูกรับประทานอาหารที่หลากหลายและครบ 5 หมู่ ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ สารอาหารที่บำรุงสมอง เพื่อให้เซลล์สมองเติบโตเต็มที่ มีการสร้างเส้นใยประสาทที่ต่อเนื่อง ช่วยส่งเสริมด้านความจำและสมาธิ จะทำให้ลูกเรียนรู้ได้ง่ายและเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้น หัดให้ลูกกินเป็น บริโภคเป็น คือ รู้จักกินใช้ด้วยปัญญา ไม่บริโภคด้วยความรู้สึกเท่านั้น แต่มองเห็นความหมายและประโยชน์ในการกิน-ใช้-บริโภค นอกจากนี้ลูกยังจำเป็นต้องได้รับการตรวจสุขภาพเป็นระยะและฉีดวัคซีนตามกำหนด
  • พัฒนาศักยภาพทางสมอง ด้วยการส่งเสริมโอกาสให้ลูกได้ใช้ความคิดอยู่เสมอ หัดให้คิด ให้ลูกมีโอกาสคิดหลากหลายแบบ เช่น คิดแสวงหาความรู้ คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดกว้าง คิดไกล คิดเชิงอนาคต คิดนอกกรอบ และจัดกิจกรรมให้ลูกได้ฝึกการคิดอย่างเหมาะสมกับวัย และมีความสุขใน ขณะที่ฝึกคิด สมองจึงจะพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
  • นอนหลับเพียงพอ ส่งผลให้ลูกเรียนเก่ง การนอนหลับมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตและสุขภาพ การนอนหลับทำให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ร่างกายและสมองมีการเจริญเติบโต เด็กจึงสูงขึ้น มีการสร้างภูมิคุ้ม กันโรค ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย สมองช่วยจัดเก็บความจำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการทำ งาน เพิ่มทักษะในการเคลื่อนไหว เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี เด็กวัยนี้หากนอนหลับเป็นเวลา 9-11 ชั่วโมงอย่างสม่ำ เสมอ จะส่งผลให้เรียนหนังสือดี มีอารมณ์แจ่มใส ไม่หงุดหงิดง่าย มีโอกาสน้อยที่จะกลายเป็นเด็กอ้วน และจะทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
  • จัดแบ่งเวลาสำหรับทำกิจกรรมที่หลากหลาย ลูกได้เล่น ได้ออกกำลังกาย มีการพักผ่อนหย่อนใจที่สมดุลกับการทำงานและการศึกษา ทำการบ้านหรือทบทวนบทเรียน กำหนดเวลาเข้านอน-ตื่นนอน รู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม จะส่งผลให้จิตใจสดชื่น ร่าเริง เบิกบาน ไม่เครียด พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกเรื่องการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และทำตารางการใช้เวลาในแต่ละวันให้เหมาะสม

ประเมินพัฒนาการด้านร่างกายของลูกได้อย่างไร?

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถประเมินพัฒนาการด้านร่างกายของลูกได้โดยสังเกตสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
  • ลูกมีการเจริญเติบโต มีน้ำหนักและส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์ปกติ พ่อแม่สนใจติดตามการเติบโตของลูก และทางโรงเรียนมีการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง พร้อมทั้งบันทึกลงในสมุดประจำตัวนักเรียนเป็นระยะ ได้รับการตรวจสุขภาพและวัคซีนตามที่กำหนด
  • ลูกมีพัฒนาการด้านร่างกายเหมาะสมกับวัย มีความสามารถด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้สายตาและมือประสานกันทำสิ่งต่างๆ พ่อแม่ได้อบรมเลี้ยงดูและจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ลูกมีโอกาสได้เรียนรู้ เล่น และทำสิ่งต่างๆ ตลอดจนได้แสดงออกตามความสามารถ พร้อมที่จะพัฒนาขั้นต่อๆไป
  • ลูกมีภาวะโภชนาการที่ดี รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ได้รับสารอาหารครบถ้วน และนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ขับถ่ายดี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีความสุขในการดำรงชีวิต
  • ลูกมีวงจรชีวิตที่สร้างความสุข ได้เล่น ได้ออกกำลังกาย มีกิจกรรมนันทนาการที่ลูกชอบและเป็นผู้เลือกที่จะทำเอง ลูกผ่อนคลายจากความเครียด ความวิตกกังวล จิตใจแจ่มใส มองเห็นศักยภาพของตนเอง และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง

เกร็ดความรู้เพื่อครู

เด็กวัยประถมต้นใช้เวลาเต็มวันอยู่ที่โรงเรียน เด็กจะได้เรียนรู้ในทุกด้าน เด็กวัยนี้จะได้รับการประคับ ประคองน้อยลงจากวัยอนุบาล เด็กจะมีการพัฒนาตนเอง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง ถ้าพัฒนาการในวัยนี้หยุดชะงักหรือมีปัญหา ก็จะส่งผลต่อวัยรุ่น และกลายเป็นปัญหาสะสมเรื้อรังต่อไปในอนาคต ครูจึงมีบทบาทต่อพัฒนาการของเด็กวัยนี้อย่างมาก จึงควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่น อย่างมีความสุข มีสภาพแวด ล้อมที่เหมาะสม พร้อมทั้งดูแลด้านสุขนิสัยและโภชนาการเหมาะสมต่อพัฒนาการด้านร่างกาย มีกิจกรรมการเคลื่อนไหว ได้ยืน เดิน วิ่ง จับ ขว้าง กระโดด เคลื่อนไหวในทิศทางต่างๆ ได้ออกกำลังกายกลาง แจ้ง เล่นกีฬา หรือเกมการละเล่นต่างๆ

บรรณานุกรม

  1. ชยสาโรภิกขุ. (2546). พ่อแม่ ผู้แสดงโลก. กรุงเทพฯ : โรงเรียนทอสี.
  2. ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย. คู่มือเลี้ยงลูก วัย 6-12 ปี. แหล่งที่มา http://plearnstage2. blogspot.com/p/6-12. html (๙ ธันวาคม ๒๕๕๕)
  3. http://taamkru.com/th/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99/

บทนำ

เด็กวัยประถมต้น (6-9 ขวบ) มีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาที่ Jean Piaget เรียกว่า Concrete Operation คือ มีความสามารถคิดเหตุผลเชิงตรรกะได้ สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อมตามความเป็นจริง สามารถพิจารณาเปรียบเทียบจัดของเป็นกลุ่มโดยใช้เกณฑ์หลายอย่าง เริ่มเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ และเข้าใจความคงตัวของสสารว่า การเปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอกไม่มีผลต่อสภาพเดิม ต่อปริมาณ น้ำหนัก และปริมาตร มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบคิดแก้ปัญหาตามวิธีการของตัวเอง ชอบแสวงหาวิธีการต่างๆจากการลองปฏิบัติ ซักถาม เปรียบเทียบ และจดจำสิ่งของหรือบุคคลต่างๆได้อย่างถูกต้อง พัฒนาการด้านภาษาและการใช้สัญลักษณ์ในวัยนี้มีพัฒนาการที่ก้าวหน้ามาก สามารถเข้าใจภาษา ความหมายของคำใหม่ๆ อ่านและเขียนได้มากขึ้น สามารถอธิบาย บอกความเหมือน-ความต่างได้ มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยนำเอาสิ่งที่มีอยู่มาสัมพันธ์กัน รวมทั้งเข้าใจความหมายของบทเรียน ทั้งคณิตศาสตร์ ภาษา และการอ่าน การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เหมาะสมจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ และการจัดการเรียนการสอนของครู จะช่วยให้เด็กมีวิธีคิด มีวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม เกิดทางเลือกและวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ซึ่งจะส่งเสริมพัฒนาการในวัยต่อไปให้ดียิ่งขึ้น

พัฒนาการด้านสติปัญญาวัยประถมต้นสำคัญอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่างบุคคลเกี่ยวกับพัฒนาการทางสติปัญญา เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่รอบตัวจำเป็นต้องตระหนักและคำนึงถึงความ สามารถเฉพาะของเด็ก พร้อมทั้งส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาตามศักยภาพของตน ดังนั้น การจะบอกว่าเด็กคนหนึ่งฉลาดหรือมีความสามารถมากน้อยเพียงใด ถ้านำระดับสติปัญญาหรือไอคิวมาเป็นมาตรวัด ก็อาจวัดได้เพียงเรื่องของภาษา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วน ยังมีความสามารถอีกหลายด้านที่แบบทดสอบไม่สามารถวัดได้ เช่น ความ สามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา หรือความสามารถทางศิลปะ เป็นต้น
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นผู้ที่พยายามอธิบายให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย โดยคิดเป็น “ทฤษฎีพหุปัญญา” (Theory of Multiple Intelligences) เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหน แล้วนำแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลไป
ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์ได้เสนอว่า ปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ (1) ด้านภาษา (2) ด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (3) ด้านมิติสัมพันธ์ (4) ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (5) ด้านดนตรี (6) ด้านมนุษยสัมพันธ์ และ (7) ด้านการเข้าใจตนเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ (8) ด้านธรรมชาติวิทยา เพื่อให้สามารถอธิบายความ สามารถที่หลากหลายได้ครอบคลุมมากขึ้น
ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายทางปัญญาของมนุษย์ ซึ่งแต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่มีปัญญาทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่มีเลยสักด้านเดียว นับเป็นทฤษฎีที่เปิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการศึกษาด้านสติปัญญาของมนุษย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในกลุ่มเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่อง และเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรทราบและเข้าใจลักษณะของเด็ก ยอมรับความแตกต่างของเด็กแต่ละคน สามารถประเมินพัฒนา การของเด็กที่เกิดขึ้นในแต่ละวัย และตอบสนองความต้องการของเด็กได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งสามารถวิเคราะห์ปัญหาพฤติ กรรมของเด็ก และหาแนวทางแก้ไขปัญหานั้นอย่างเหมาะสม

เด็กวัยประถมต้นมีสมรรถนะและพัฒนาการด้านสติปัญญาอย่างไร?

จากวัยอนุบาลมาเป็นเด็กประถมที่รู้จักเหตุและผล มีความคิดเป็นของตนเอง สามารถแก้ไขปัญหา พร้อมเรียนรู้โลกกว้างในกรอบของระเบียบวินัย จึงทำให้สามารถมองเห็นพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ดังนี้
อายุ 6 ขวบ เริ่มต้นวัยประถม เด็กวัยนี้มีความสนใจกิจกรรมและงานของตนเองนานขึ้น มีความกระตือรือร้น สนใจของแปลก ใหม่ แต่หากมีสิ่งที่น่าสนใจกว่า อาจหันไปสนใจของอีกอย่างได้ทันที นอกจากนี้สามารถวาดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน วาดรูปคน เขียนตัวอักษรง่ายๆได้ รู้ซ้ายขวา นับ 1-30 ได้ สามารถอธิบายความหมายของคำ และบอกความแตกต่างของ 2 สิ่งได้
อายุ 7 ขวบ วัยประถมเต็มตัว เมื่อเด็กมีความสนใจสิ่งใดแล้ว จะพยายามทำให้สำเร็จ มีความอยากรู้อยากเห็น เข้าใจเรื่องเหตุและผลมากขึ้น สามารถจดจำระยะเวลา อดีตและปัจจุบันได้ มีความสนใจที่ยาวนานขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมกัน เด็กวัยนี้สามารถวาดรูปคนมีรายละเอียดมากขึ้น เขียนตัวหนังสือได้ครบตามแบบ บอกวันในสัปดาห์ เปรียบ เทียบขนาดใหญ่ เล็ก เท่ากัน แก้ปัญหาได้ บวก ลบ เลขง่ายๆ และบอกเวลาก่อน-หลังได้
อายุ 8 ขวบ วัยแห่งการเรียนรู้ เด็กวัยประถมจะสนใจและจดจ่อกับงานที่ได้รับมอบหมาย และหมกมุ่นจนกว่างานนั้นจะสำเร็จ เข้าใจคำสั่งและตั้งใจทำงานให้ดีกว่าเดิม เด็กวัยนี้วาดรูปสิ่งที่พบเห็นเป็นสัดส่วนและมีรายละเอียด เขียนตัวหนังสือถูกต้อง เป็นระเบียบ บอกเดือนของปีได้ สะกดคำง่ายๆได้ ฟังเรื่องราวแล้วเข้าใจเนื้อหาและขั้นตอนได้ เปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกัน และสามารถเข้าใจปริมาตร
อายุ 9 ขวบ ซึมซับความรู้ วิธีการพูดของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้ภาษาที่ซับซ้อนขึ้น รู้จักถาม-ตอบอย่างมีเหตุผล เต็มไปด้วยความรู้รอบตัว สามารถหาคำตอบเองได้จากการสังเกต เด็กจะต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีของสะสม และเลียนแบบการกระทำของคนที่โตกว่า เด็กวัยนี้สามารถวาดรูปทรงกระบอกมีความลึกได้ บอกเดือนถอยหลังได้ เขียนเป็นประโยค เริ่มอ่านในใจ เริ่มคิดเลขในใจ บวกลบหลายชั้น และคูณชั้นเดียว
เด็กวัยประถม เป็นช่วงที่เด็กไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าถึงบ่ายหรือเย็นแล้วจึงกลับเข้าบ้าน จึงเกิดการเรียนรู้ทั้งที่บ้านและที่โรง เรียน เด็กวัยนี้มีความสามารถที่จะมองเหตุการณ์ในภาพรวม และมองรายละเอียด รวมทั้งเลือกที่จะสนใจจุดย่อยๆได้ เด็กจะมีความคิดเรื่องความคงที่ของวัตถุ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนภาชนะไป มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล สามารถคิดแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของตนเองต่อโลกกว้าง รู้จักแยกสิ่งของออกเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ คิดกลับไปกลับมา และคิดในใจได้ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์และมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในวัยนี้ คิดและมองโลกในมุมมองของผู้อื่นได้มากขึ้น ทำให้การปรับตัวเข้ากับคนอื่นทำได้ดีขึ้น

พ่อแม่ ผู้ปกครองจะจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาให้ลูกวัยประถมต้นได้อย่างไร?

การพัฒนาสติปัญญาจะต้องพัฒนาให้ครบทุกด้าน นั่นคือ การพัฒนาให้ลูกมีทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ มีความฉลาด ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง รู้จักตนเอง และมีความมั่นคงทางอารมณ์ มีทักษะการแก้ปัญหา และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การดูแลลูกในวัยประถม จึงเป็นช่วงสำคัญอีกช่วงหนึ่ง เพราะเป็นวัยที่ลูกต้องเรียนรู้และปรับตัวในด้านต่างๆ ทั้งด้านการเรียน การเข้ากับเพื่อน เข้ากับครู และปรับตัวให้เข้ากับระบบโรงเรียน ซึ่งลูกต้องช่วยตัวเองมากขึ้นและมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองต่อไปได้ตามลำดับ โดยพ่อแม่จะช่วยเหลือลูกได้ ดังนี้
  • ดูแลเรื่องเรียน การเรียนในชั้นประถมแตกต่างจากอนุบาล คือ มีการเรียนเป็นชั่วโมง ลูกต้องนั่งเรียนเป็นเวลานาน และเริ่มมีการบ้าน พ่อแม่จึงควรดูแลเอาใจใส่ช่วยเหลือลูก เช่น ช่วยตรวจการบ้านว่าทำถูกต้องหรือไม่ ช่วยลูกทบทวนบท เรียน ช่วยให้ลูกสนุกกับการเรียน สนุกกับการทำงาน ช่วยค้นหาข้อมูล ช่วยคิดว่าจะทำงานอย่างไรให้สวยงาม เรียบร้อย
  • ช่วยเหลือเรื่องปรับตัว ให้คำแนะนำต่างๆ การไปโรงเรียนเป็นการเรียนรู้ในทุกด้านของชีวิต พ่อแม่ควรให้คำแนะ นำในการคิดแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ลูกไม่เข้าใจบทเรียน ไม่กล้าถามครู ลูกจดงานไม่ทัน ไม่รู้จักขอดูจากเพื่อน ถูกเพื่อนล้อเลียน ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร หรือถูกรังแก โดนข่มขู่ ฯลฯ
  • หาเวลาว่างพูดคุยกัน พ่อแม่ควรหาเวลาพูดคุยกับลูก แสดงท่าทียอมรับ เปิดใจฟังเรื่องของลูกเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป แบบสบายๆ ให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมจะเปิดใจพูดคุยกับพ่อแม่ ด้วยการใช้ภาษาแบบเด็ก ฟังโดยไม่ขัดแย้ง ให้เกียรติ หลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง

ประเมินพัฒนาการด้านสติปัญญาของลูกวัยประถมต้นได้อย่างไร?

การประเมินพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็กวัยนี้ จะประเมินความสามารถในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และการใช้ภาษา ทั้งความเข้าใจภาษา และการสื่อความหมายต่างๆ ดังนี้
  • ลูกได้รับสารอาหารบำรุงสมองครบถ้วน เพียงพอ ได้แก่ ตับ ไข่ ปลา ไก่ หมู นม และอาหารทะเล ผักและผลไม้ วิตามินและเกลือแร่ ฯลฯ
  • ลูกสามารถใช้ภาษาสื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักขอร้อง ไกล่เกลี่ย ต่อรอง ขอบคุณ ขอโทษ และลูกมักได้รับคำชื่นชม คำแนะนำ กำลังใจจากพ่อแม่เสมอ
  • ลูกสามารถคิดเป็นระบบ คิดแก้ปัญหาได้เหมาะกับวัย พ่อแม่ให้โอกาสลูกได้ฝึกคิด ฝึกเลือก และหัดตัดสินใจ ทำให้ลูกเข้าใจว่า ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ เมื่อเผชิญปัญหา ลูกมีโอกาสได้ฝึกคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
  • ลูกมีจินตนาการ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สังเกตได้จากงานเขียนหรือการเล่นของลูก ลูกมีโอกาสได้เล่นบทบาทสมมติ ได้แสดงออก รู้จักเคลื่อนไหวร่างกาย และจินตนาการเป็นสิ่งต่างๆ
  • ลูกมีโอกาสเล่น ออกกำลังกาย ได้เล่นเกมที่ไม่ต้องแข่งกัน ได้เล่นเกมง่ายๆเป็นกลุ่ม เช่น เล่นโดมิโน ต่อจิ๊กซอว์ ลูกสามารถเข้าใจกฎเกณฑ์และเรียนรู้ที่จะสร้างกฎเกณฑ์ด้วยตัวเอง
  • ลูกมีความสนใจ ใฝ่รู้ มีความรู้ความสามารถ มีผลการเรียนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งมาจากความสามารถ ความรับผิด ชอบ และความอดทนของตัวเอง มีทัศนคติที่ดีต่อการสอบว่า อาจทำผิดพลาดและสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ด้วยการพยายามให้มากขึ้นในครั้งต่อไป
  • ลูกสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม มีโอกาสฝึกคิด จัดกลุ่ม จับคู่ นับจำนวนต่างๆ ในสถาน การณ์จริง ให้มีส่วนร่วมในการทำงานต่างๆในบ้าน เช่น จัดโต๊ะอาหาร ทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ กวาดใบไม้ เป็นต้น

เกร็ดความรู้เพื่อครู

องค์ประกอบด้านสติปัญญา ประกอบด้วยความพร้อมทางการเรียน ทั้งด้านภาษาและคณิตศาสตร์ โดยมีความเข้าใจภาษาและมีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีความพร้อมทางการรับรู้และความสามารถในการแก้ปัญหา ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการต่อจากพ่อแม่ ครูจึงควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กและครอบครัว รับฟังปัญหาเด็ก ไม่ด่วนสรุปเร็วเกินไป และมีท่าทีเป็นกลาง หาข้อมูลเพื่อให้รู้สาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหา มองเด็กในแง่ดี ชี้ แนะในกรณีที่เด็กคิดไม่ออกด้วยตัวเอง จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เป็นแบบอย่างที่ดี ให้เด็กรักกัน ยอมรับและช่วยเหลือกัน มีการชมเชยเมื่อเด็กทำได้ดี มีวิธีตักเตือน ชักจูงให้อยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น
ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สามารถส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา และพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา ซึ่งประ กอบด้วยการแปลโจทย์ปัญหา การทำงานร่วมกัน การวางแผน การระดมสมอง การแลกเปลี่ยนข้อมูล การประสานงาน การแบ่งงาน เป็นต้น ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบที่เด็กมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้วิถีการทำงานของเพื่อน เกิดการช่วย เหลือซึ่งกันและกัน และช่วยผลักดันให้เกิดผลงานที่ดี พัฒนาให้เด็กกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากกว่าแค่การนั่งฟังครูสอน ครูจึงควรออกแบบและจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมอง ทั้งสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาของเด็ก ด้วยการจัดกิจกรรมที่สมดุลระหว่างการนั่งเรียนในชั้นเรียนกับกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกาย มีการฝึกภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสาร ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน มีการแสดงออกทั้งด้านกีฬา ดนตรี และศิลปะ ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต การเปรียบเทียบ จำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ จัดหมวดหมู่สิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้ขนาด ปริมาณ การเพิ่มขึ้นลดลง การใช้ตัวเลข ได้สัมผัสวัตถุที่เป็นของจริง เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ฝึกที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ให้มีทั้งการทำงานเดี่ยวและทำงานกลุ่ม ที่สำคัญ ฝึกให้รู้จักตนเอง วิเคราะห์ข้อเด่น ข้อด้อยของตัวเอง เข้าใจตนเอง เพื่อที่จะดูแลกำกับพฤติกรรมตนเองได้อย่างเหมาะสม
ในขณะเดียวกันโรงเรียนก็ควรมีระบบให้ความช่วยเหลือนักเรียน มีระบบคัดกรองนักเรียนที่มีปัญหาด้านต่างๆ เช่น ปัญหาการเรียน ปัญหาพฤติกรรมหรืออารมณ์ และมีทีมนักจิตวิทยาช่วยประเมินผล หาสาเหตุ ส่งต่อ ติดตามผลการให้ความช่วย เหลือ จึงจะช่วยทำให้โรงเรียนสามารถพัฒนาเด็กได้เพิ่มขึ้น เพราะการไปโรงเรียนไม่ใช่ไปเรียนหนังสืออย่างเดียว แต่เด็กควรจะได้รับการปลูกฝัง ฝึกหัด และเรียนรู้ เพื่อที่จะก้าวต่อไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและดีงาม

บรรณานุกรม

  1. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต). (2549). สุขภาวะองค์รวมแนวพุทธ. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา.
  2. ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นฯ. คู่มือเลี้ยงลูก วัย 6-12 ปี. แหล่งที่มา http://www.rcpsycht.org/cap/book03. php (1 มกราคม 2556)
  3. นายแพทย์ สุรพงศ์ อำพันวงษ์ คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 26 มีนาคม 2543) แหล่งที่มา http://www.teerawatschool.com 1 มกราคม 2556)
  4. พัฒนาการของเด็กวัยประถมศึกษา แหล่งที่มา http://www.childanddevelopment.com (1 มกราคม 2556)
  5. http://taamkru.com/th/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99/

คณิตสำหรับเด็กประถม

ด็ก ๆ มีธรรมชาติ 3 ประการ คือความกระหายใคร่รู้   ความคิดสร้างสรรค์ และ ความสามารถเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน ธรรมชาติทั้งสามนี้มีในตัวเด็กมากน้อยไม่เท่ากัน แต่ก็ถือว่าเป็นรากฐานการเรียนรู้ของมนุษย์ ส่วนคุณสมบัติอื่นที่ผู้สอนต้องช่วยพัฒนาเด็กก็คือช่วยให้เด็กเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะหรือความชำนาญในการนำความรู้ไปใช้ได้เป็นอย่างดี
การสอนคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษานั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นเรื่องของการจัดกิจกรรมให้เด็กมีประสบการณ์จากสื่อต่าง ๆ ให้เด็กทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมให้เด็กเกิดความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้เกิดวิสัยทัศน์ทางคณิตศาสตร์ ฝึกการสังเกต จัดประเภทจำแนกหมวดหมู่ของสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันเพื่อให้เป็นผู้มีเหตุผล เกิดความคิดสร้างสรรค์ และเตรียมให้เด็กพร้อม ที่จะเป็นเยาวชนที่มีคุณค่าในยุคข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดน ซึ่งจะเห็นได้ว่า คณิตศาสตร์ช่วยสนับสนุนธรรมชาติในตัวเด็กและคุณสมบัติต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นได้เป็นอย่างดี
สำหรับการจัดการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้ มุ่งพัฒนาคนให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าในยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เด็กจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ได้รับการพัฒนาความสามารถถึงขั้นเรียนรู้ในการแก้ปัญหามีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์เพียงพอที่จะนำไปใช้ในการดำรงชีวิต คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ใฝ่หาความรู้ และสามารถแสดงความคิดได้อย่างชัดเจน ถ้าเด็กได้รับการพัฒนาความสามารถอย่างสม่ำเสมอจนถึงขั้นเรียนรู้แก้ปัญหา เป็นต้นว่าใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) คณิตศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพช่วยสอนซ่อมเสริมเพียงวันละ10 นาที จะช่วยพัฒนาให้เด็กรู้จักตัดสินใจในการใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหา ซึ่งเป็นการพัฒนาความคิด ภาษาตลอดจนอารมณ์และสังคมของเด็กอีกด้วย ผู้สอนมีบทบาทในการป้อนคำถาม สาธิตให้เด็กคิดโปรแกรมกราฟิกที่เป็นลายเส้น จะช่วยพัฒนาความคิดด้านเรขาคณิต ด้านความคิดสร้างสรรค์ จนถึงขั้นเป็นนักออกแบบรุ่นจิ๋วได้ แต่จะต้องระวังมิให้โปรแกรมดังกล่าวยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งจะเป็นการสร้างความกดดัน และทำให้เด็กเกิดความเครียดมากกว่าที่จะเสริมสร้างสติปัญญาเพราะความเครียดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสติปัญญา
อย่างไรก็ตาม ผู้สอนยังมีบทบาทที่สำคัญในการช่วยให้เด็กคิดเพื่อไปสู่การแสวงหาแนวทางเพื่อการแก้ปัญหา และต้องไม่ลืมทบทวน ฝึกฝนให้เข้าใจ จำได้และนำความรู้ไปใช้ได้อย่างคล่องแคล่วไม่ลืมที่จะจัดกิจกรรมให้ผ่อนคลายความเครียด ได้แก่ การเล่น การออกกำลังกายด้วยความร่าเริงแจ่มใส ซึ่งจะช่วยให้เซลล์สมองและใยประสาทเจริญงอกงาม และพัฒนาสติปัญญาเป็นอย่างดี
แม้โลกเราปัจจุบันอยู่ในยุดเทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นโลกาภิวัตน์และวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่หลักการของคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาไม่เคยเปลี่ยน ผู้สอนจะต้องพัฒนาให้เด็กแต่ละคน โดยคำนึงถึงธรรมชาติและคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นของเด็ก ให้เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง

การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ สำหรับเด็กประถม


1.ภาษาอังกฤษคือภาษาที่เป็นทางการของโลกถึงแม้ว่าภาษาจีนจะมีคนพูดมากที่สุดก็ตาม
 2.เหตุผลทำไมเราต้องเรียนภาษาอังกฤษ : เพิ่มโอกาสของการได้งานดีๆ และมีรายได้มากขึ้น
3.ภาษาอังกฤษ ถูกใช้เป็นทางการในกว่า 53 ประเทศทั่วโลก
4.มีคนกว่า?400 ล้านคนทั่วโลก?พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่
5.ในแวดวงสื่อแล้ว ยังคงใช้ภาษาอังกฤษในการนำเสนอและติดต่อสื่อสารเป็นหลัก
6.ในอินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน ภาษาอังกฤษยังคงเป็นภาษาหลักของโลกอินเตอร์เน็ต
7.เหตุผลทำไมเราต้องเรียนภาษาอังกฤษ : ภาษาอังกฤษเรียนรู้ง่าย เพราะมีตัวอักษรเพียงแค่ 26 ตัว
8.การเรียนรู้ภาษา จะช่วยให้เกิดความภูมิใจที่ได้เรียนและเข้าใจภาษาใหม่ๆ
9.ในหลายๆโรงเรียน สถาบัน และมหาวิทยาลัยทั่วโลก เปิดสอนสาขาวิชาต่างๆเป็นภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น แม้ประเทศนั้นจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็ตาม
10เหตุผลทำไมเราต้องเรียนภาษาอังกฤษ : ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ของประเทศนั้นผ่านภาษา โดยไม่ใช่ประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาเพียงอย่างเดียว 

     ทักษะการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
การเรียนวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาทักษะนั้น นักศึกษาต้องใช้ความมานะพยายาม และความอดทน หลักการศึกษาวิชาภาษาอังกฤษให้ได้ผลนั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะความสำเร็จในการเรียนวิชาภาษา ซึ่งเป็นวิชาทักษะนั้น อาศัยทั้งความเข้าใจและการฝึกฝนทบทวนบ่อย ๆ อยากทราบว่าตนเองยังมีพื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างน้อย ก็ควรที่จะเพิ่มพูนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น 
ทักษะการฟัง มีพฤติกรรมการฟังอยู่ 5 ระดับ คือ 
1. ขั้นรับรู้
ฝึกสังเกตความแตกต่างของภาษาเกี่ยวกับเสียง คำ การเน้น และระดับเสียงขึ้น-ลงของข้อความ
2. ขั้นระลึก
สามารถที่จะเข้าใจความหมายของข้อความสั้น ๆ ที่ได้ยิน 
3. ขั้นรับความคิด
สามารถที่จะเข้าใจสัญลักษณ์ทางไวยากรณ์ คำศัพท์ ประโยคและบทความสั้น ๆ 
4. ขั้นเข้าใจ 
สามารถเข้าใจคำอธิบาย รู้จักจับความของข้อความที่ได้ยิน แม้ว่าจะมีคำที่ไม่รู้ความหมายอยู่ด้วยก็ตามสามารถฟัง และเข้าใจข้อความที่ผู้พูดพูดออกมาอย่างรวดเร็วได้ 
5. ขั้นวิเคราะห์ 
สามารถแยกแยะได้ว่าข้อความที่ได้ยินว่า เป็นภาษามาตรฐานหรือไม่ รูปประโยคถูกต้องหรือไม่ เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และความมุ่งหมายของผู้พูดจากน้ำเสียง และถ้อยคำที่เน้น สามารถประเมินได้ว่าถ้อยคำที่เน้นนั้นสื่อสารความคิดได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ 
ในปัจจุบัน มีสื่อต่าง ๆ ที่ช่วยนักศึกษาพัฒนาทักษะการฟังอยู่มากมาย เช่น รายการโทรทัศน์ประเภทสารคดีภาษาอังกฤษ จะมีบทสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ บางรายการอาจมีคำแปลภาษาไทยกำกับด้วย รายการวิทยุภาคภาษาอังกฤษ ภาพยนตร์ หรือเพลง ก็ช่วยได้มาก ถ้านักศึกษาให้ความสนใจและใส่ใจอย่างจริงจัง
ทักษะการพูด 
เป็นพฤติกรรมทางด้านการแสดงออก เนื่องจากคนไทยมิใช่ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ทักษะการพูดภาษาอังกฤษจึงอาจเป็นทักษะที่ดูเหมือนค่อนข้างจะยาก ในด้านของการออกเสียงหรือสำเนียงให้ถูกต้อง แต่หากผู้เรียนมีความพากเพียรพยายามหมั่นฝึกฝนบ่อย ๆ ก็อาจสามารถทำได้ดีเช่นเดียวกัน แต่ถึงแม้ว่าจะออกเสียงผิดเพี้ยนไปบ้าง ผู้เรียนก็ควรให้ความสำคัญต่อการพยายามสื่อสารให้ได้ความหมายมากที่สุด องค์ประกอบสำคัญ นอกจากเสียงหรือสำเนียงแล้ว ได้แก่ ศัพท์ ไวยากรณ์ ระเบียบวิธีของความสัมพันธ์ระหว่างประโยค ตลอดจนการใช้กริยา ท่าทาง ประกอบในการสื่อสาร 
นักศึกษาสามารถที่จะทดลองฝึกพูดตามเทปเสียง ประจำชุดวิชา หรือทดลองอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ และให้ผู้ใกล้ชิดที่มีความรู้ภาษาอังกฤษดีพอสมควร ฟัง และวิจารณ์ปัญหาสำคัญโดยทั่วไปของคนไทยที่ด้อยทักษะทางการพูดมักเนื่องมาจากการขาดโอกาสที่จะพูดภาษาอังกฤษทั้งสิ้น 
ทักษะการอ่าน 
ในเอกสารการสอนของนักศึกษา จะให้แนวทางของการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านไว้ค่อนข้างมาก จึงขอเน้นในประเด็นต่อไปนี้ 
ประสิทธิภาพในการอ่านจะดีขึ้นเมื่อ 
1. มีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์มากขึ้น มีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้คำ มีความชำนาญในการใช้คำต่าง ๆ เช่น คำนาม กริยาเปลี่ยนรูป วิเศษณ์ บุพบท ฯลฯ 
2. มีความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของประโยค และไวยากรณ์ อย่างถูกต้อง 
3. มีความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านอย่างชัดเจน สามารถเข้าใจโครงสร้างของบทความ รู้ตำแหน่งสำคัญของประโยคต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นเรื่องราว ซึ่งได้มาจากการเข้าใจความหมายตามตัวอักษร และความสามารถที่จะติดตามเรื่องที่อ่านอย่างมีลำดับ สามารถที่จะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ของข้อความที่อ่าน 
ทักษะการอ่านนี้คงต้องเริ่มจากการอ่านหนังสือที่มีรูปประโยคง่าย ๆ และศัพท์ ง่าย ๆ ก่อน เมื่อเข้าใจดีขึ้นก็เพิ่มความยากของศัพท์ให้มากขึ้น และประโยคที่มีโครงสร้างซับซ้อนขึ้น หากนักศึกษาไม่แน่ใจในทักษะภาษาอังกฤษของตนเอง นักศึกษาอาจนำหนังสือประกอบการเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษามาทดสอบการอ่านดู หากสามารถอ่านผ่านมาได้ ตอบคำถามต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ทักษะพื้นฐานของนักศึกษาก็ควรจะอยู่ในระดับที่สามารถจะศึกษาชุดวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานได้ เพราะชุดวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานเป็นชุดวิชาภาษาอังกฤษระดับอุดมศึกษา ที่มีเนื้อหาในลำดับที่สูงขึ้นจากภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษานั้นเอง 
ทักษะการเขียน 
ทักษะการเขียน เป็นทักษะที่ต้องผ่านกระบวนการทางความคิดหลายขั้นตอน ตั้งแต่การรวบรวมความคิด การลำดับเรื่อง และเลือกสรรถ้อยคำในการถ่ายทอดออกมาเป็นข้อความที่สามารถสื่อความหมายได้ตรงความต้องการ 
ทักษะการเขียนจะต้องอาศัยความเข้าใจโครงสร้างภาษาอย่างถูกต้อง รู้ศัพท์ สำนวน รูปแบบ ประโยค ไวยากรณ์ และเช่นเดียวกับทักษะอื่น ๆ ผู้เรียนจะต้องหมั่นฝึกฝนและหัดเขียนอยู่เสมอ นอกจากนั้นการเขียนและการอ่านเป็นทักษะที่เชื่อมโยงกัน หากผู้เรียนมีประสบการณ์ในการอ่านมาก ก็จะได้เห็นรูปแบบวิธีเขียน แนวคิดในการสื่อสารของผู้เขียน ซึ่งจะช่วยทำให้มีแบบอย่างสำหรับการเขียน สำหรับตนเองมากขึ้นด้วย 
สำหรับนักศึกษานั้นควรจะหาโอกาสไปเข้ารับการสอนเสริม เพื่อที่จะมีโอกาสได้สนทนา ซักถามอาจารย์ผู้สอนโดยตรง อย่างไรก็ตามการศึกษาด้วยตนเองโดยไม่มีชั้นเรียนปกตินั้น นักศึกษาต้องดูแลตนเองให้มีวินัยในการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนวิชาภาษานั้นจะต้องฝึกฝนเป็นประจำ สม่ำเสมอ หากไม่ท้อถอยในการเรียนเสียก่อน ความสำเร็จในการศึกษาต้องเป็นของนักศึกษาอย่างแน่นอน 

าษาอังกฤษสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา
                                        ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา ซึ่งจะเน้นไปที่การเรียนรู้คำศัพท์เป็นเบื้องต้น ทั้งการฟัง การอ่าน และการเขียน เพราะโดยธรรมชาติของการเรียนรู้ภาษาจะเริ่มจากคำศัพท์เป็นคำๆ แล้วค่อยเป็นประโยคทีหลัง คล้ายการการเรียนรู้ของเด็กๆในชีวิตจริง

https://sites.google.com/site/kamsupdaily/

ประถมศึกษา


ความหมายของการประถมศึกษา
ประถมศึกษาเป็นการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยทั่วไปแล้ว
การศึกษาในระดับประถมศึกษาจะมีระยะเวลาในการเรียนประมาณ 5 - 8 ปี ขึ้นอยู่กับการวางแผนจัดการศึกษาของแต่ละประเทศ
ความมุ่งหมายของการประถมศึกษา
การศึกษาระดับประถมศึกษา เป็นการศึกษาพื้นฐาน ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พร้อมที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคม ตามบทบาทและหน้าที่ของตน ในฐานะพลเมืองดีตามระบอบการปกครอง แบบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขโดยให้ผู้เรียน มีความรู้ และทักษะพื้นฐานในการดำรงชีวิต ทันต่อการเปลี่ยนแปลง มีสุขภาพสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ทำงานเป็น และครองชีวิตอย่างสงบสุข
หลักการของการประถมศึกษา
วิวัฒนาการของการประถมศึกษา
1. ประถมศึกษาตอนต้น คือ ช่วงประถมศึกษาปีที่ถึงประถมศึกษาปีที่ 3
(มักเรียกโดยย่อว่า ป.ต้น) เทียบเท่ากับ grade 1-3
ความหมายของการประถมศึกษา
ประถมศึกษาเป็นลำดับการศึกษาขั้นที่ 2
ถัดจากการศึกษาปฐมวัย
แบ่งเป็น 2 ช่วงชั้น คือ
ปัจจุบันกลุมอายุของเด็กวัยระดับประถมศึกษามีปริมาณลดลง อันเนื่องมาจากการวางแผนครอบครัวและการไมไดเขาเรียน
อันเนื่องมาจากการอพยพยายตามบิดามารดาที่ตองเดินทาง
ไปประกอบอาชีพ ในที่ตางๆ
2. ประถมศึกษาตอนปลาย ได้แก่ ช่วงประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6
(มักเรียกโดยว่า ป.ปลาย) เทียบเท่ากับ grade 4-6
เป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อปวงชน

เป็นการศึกษา ที่มุ่งให้ผู้เรียน นำประสบการณ์
ที่ได้จากการเรียน ไปใช้ประโยชน์ ในการดำรงชีวิต

เป็นการศึกษา ที่มุ่งสร้าง เอกภาพของชาติ โดยมีเป้าหมายหลักร่วมกัน แต่ให้ท้องถิ่น มีโอกาส พัฒนาหลักสูตรบางส่วน ให้เหมาะสมกับสภาพ และความต้องการได้

แต่เดิมการประถมศึกษาของไทยอาศัยบ้าน วัด วัง เป็นสถานศึกษา มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ต่อมาพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงริเริ่มวางรากฐานการประถมศึกษาของไทยขึ้น โดยได้จัดตั้งโรงเรียนแห่งแรกขึ้นในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๔ และขยายการศึกษาต่อไปตามหัวเมืองต่างๆ
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ขึ้นเสวยราชสมบัติพระองค์ได้ทรงรับภารกิจเกี่ยวกับการจัดการศึกษา
สืบเนื่องจากพระราชบิดา ทรงยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัว ที่ทรงสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงให้จัดสร้างโรงเรียนเพาะช่างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงจัดตั้งโรงเรียนเบญจมราชาลัยเพื่อฝึกหัดครูในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นประถมในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ทรงตั้งโรงเรียนพาณิชยการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕
ในปี พ.ศ.๒๔๖๑
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ขึ้น เพื่อบังคับให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเพื่อให้เด็กทุกคนรู้หนังสือจึงทรงตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาออกบังคับเป็นเขตๆ ไปเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๔ ซึ่งเป็นการศึกษาภาคบังคับขึ้นครั้งแรก โดยบังคับโดยบังคับให้เด็กที่มีอายุ ๗ - ๑๔ ปีบริบูรณ์ เล่าเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน นอกจากนี้ยังทรงตั้งโรงเรียนประชาบาลขึ้นตามท้องที่ในอำเภอ ตำบลต่างๆกัน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแล
การประถมศึกษาของไทยได้เจริญรุดหน้าไปตามลำดับ ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ได้มีการโอนโรงเรียนประชาบาลนอกเขตเทศบาลทั้งหมด
ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพื่อให้สอดคล้องกับการกระจายอำนาจในท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการศึกษา และในปีพ.ศ.๒๕๒๓ มีพระราชบัญญัติโอนกิจการบริหารโรงเรียนประชาบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัดและโรงเรียนประถมศึกษากระทรวงศึกษาธิ-
การไปสังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้พิจารณาจัดงานวันประถมศึกษาแห่งชาติขึ้นในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายนของทุกปี เช่นเดียวกับวันวชิราวุธ โดยถือเอาวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ- เกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นวันประถมศึกษาแห่งชาติ
๒๕ พฤศจิกาวันประถมศึกษาแห่งชาติ
สำหรับประเทศไทยมีจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปี
ตั้งแต่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6
โดยผู้เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษามักจะมีอายุประมาณ 6-7 ปี

ประวัติศาสตร์เทพปกรณัมกรีก




 ปฐมบท: เทพปกรณัมกรีกและโรมันโบราณ01

  • แรกที่สุดของจักรวาลนั้น มีแต่ความว่างเปล่า เทพเจ้าองค์แรกมาจากละอองหมอกขมุกขมัวข้นคลั่ก ซึ่งมีสสารของทั้งจักรวาลลอยไปรอบ ๆ เป็นเทพที่ชื่อว่า "เคออส (Chaos)"02 แล้วต่อมาความโกลาหลก็ลดน้อยลง สสารบางส่วนก็จับตัวแข็งขึ้นมาเป็นโลกของเรา.
       
เคออส (Chaos)
  • และได้พัฒนาเป็นตัวตนที่มีชีวิตจิตใจขึ้นมานางหนึ่ง นางเรียกตนเองว่า "ไกอา (Gaia)"03 เทพีแห่งพื้นพิภพ หรือแม่พระธรณี.
  • ไกอา นี่แหละคือโลกของเราทั้งใบจริง ๆ เลย ทั้งก้อนหิน เนินเขา หุบเขา นางชอบเดินไปทั่วโลก (หรือเดินไปบนตัวของนางเอง) ในร่างของสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวยาวสยาย มีผมหยักศกสีดำ และมีรอยยิ้มสงบบนใบหน้า รอยยิ้มนั้นว่ากันว่า "ปิดบังจุดประสงค์ชั่วร้ายที่ซ่อนเร้นไว้" ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป.
     
ไกอา (Gaia)
  • ไกอา รู้สึกเหงา ๆ มองไปก็มีแต่ความว่างเปล่า น่าจะมีท้องฟ้า เป็นบุรุษหล่อเหลาที่เธอจะตกหลุมรักได้ด้วยยิ่งดี อาจจะเป็นเพราะ เคออส ให้ความร่วมมือ (หรือไม่ก็ไม่รู้) ไกอาก็เพ่งจิตด้วยตนเอง แล้วก็มีท้องฟ้าปรากฎขึ้นเหนือพื้นโลก เป็นโดมป้องกันที่มีสีน้ำเงินในเวลากลางวันและมีสีดำในเวลากลางคืน
        
เทพอูรานอส (Ouranos) หรือ ยูเรนัส (Uranus) 05
  • ท้องฟ้าตั้งชื่อตนเองว่า "อูรานอส (Ouranos)"04 ซึ่งเป็นเจ้านภา ซึ่งมีนิสัยขี้หงุดหงิด ในร่างที่มีเลือดเนื้อ เขาตัวสูง ล่ำ และมีผมยาวสีเข้ม สวมแต่ผ้าเตี่ยว ผิวพรรณก็เปลี่ยนสีสันไปเรื่อย ๆ บ้างเป็นสีน้ำเงินลายเมฆเลื่อนลอยไปทั่วกล้ามเนื้อ บ้างก็เป็นสีดำมืดโดยมีแสงดาวพร่างพราว.
  • บางครั้ง เราอาจจะเห็นอูรานอสในภาพวาดถือกงล้อจักรราศีที่เป็นตัวแทนของกลุ่มดาวต่าง ๆ ซึ่งเคลื่อนคล้อยผ่านท้องฟ้าซ้ำไปซ้ำมาตลอดกาล.
  • และแล้วอูรานอสกับไกอาก็สมรสกัน.
  • ต่อมา เคออส ก็เริ่มสนุกขึ้นมาอีก หยดน้ำกลั่นตัวออกมาจากหมอกแห่งเคออส ไหลไปรวมกันในส่วนลึกของโลก จนเกิดเป็นทะเลผืนแรก ๆ ซึ่งก็มีชีวิตจิตใจขึ้นมา เป็นเทพชื่อว่า "พอนตัส (Pontus)" นั่นเอง.
     
เทพพอนตัส (Pontus)
  • เคออส ก็สนุกต่อไปอีก เพลินคิดต่อไปว่า เอาโดมแบบท้องฟ้าอีกอัน แต่อยู่ใต้โลก เป็นไง...!! คงเจ๋งไม่เบา แล้วเกิดมีโดมอีกอันขึ้นมาใต้พื้นโลก มันมืด เหนียวเหนอะ โดยรวมแล้วคือ ไม่น่าอยู่เพราะแสงจากท้องฟ้าไม่เคยส่องถึง และนี่ก็คือ "ทาร์ทารัส (Tartarus)" นั่นเอง เป็นหลุมแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง.
     
ทาร์ทารัส (Tartarus)
  • ปัญหาต่อมาก็คือ ทั้งพอนตัส และ ทาร์ทารัส ต่างก็ชอบไกอา ซึ่งสร้างแรงกดดันให้กับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอูรานอส ไม่น้อย.
  • ต่อมาก็มีเทพผุดขึ้นมามากมาย ที่สำคัญคือ เคออส กับ ทาร์ทารัส นั้นมีลูกด้วยกัน ก็ยังงง ๆ ว่ามีลูกด้วยกันอย่างไรหนอ? เกิดเป็น "นิกซ์ (Nyx)"06 หรือรัตติกาลนั่นเอง
  • นิกซ์ ด้วยตัวคนเดียวอย่างไรไม่ทราบให้กำเนิดธิดาชื่อ "เฮเมร่า (Hemera)"07 ขึ้นมา
             
นิกซ์ (Nyx) และ เฮเมร่า (Hemera)
  • เฮเมร่ามีนิสัยเข้ากันไม่ได้กับนิกซ์ ซึ่งเรา ๆ ท่าน ๆ ก็พอเดาออก.
  • บางตำนานเล่าว่า เคออส สร้าง "อีรอส (Eros)"08 เทพเจ้าแห่งการให้กำเนิดขึ้นมา บางตำนานกล่าวว่าอีรอสเป็นบุตรแห่ง "อะโฟรไดต์ (Aphrodite)"09
          
อีรอส (Eros) และ อะโฟรไดต์ (Aphrodite)
  • ไกอา และ อูรานอส เริ่มมีลูกด้วยกัน ผลลัพธ์ผสมปนเปมาก แรกสุดให้กำเนิดกลุ่มสิบสองขึ้นมา หญิงหก ชายหก ที่เรียกว่า "ไททัน (Titan)"10 ลูก ๆ กลุ่มนี้ดูเหมือนมนุษย์ แต่ตัวสูงกว่า ทรงพลังมากกว่า
ไททันตนที่ชื่อไททัน-เพศภาพ รายละเอียด11
01 โอเชียนัส บ้างก็เรียก โอเชียนุส (Oceanus or Okeanos) - เพศชาย เป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้องสิบสองตน
 
จาก Trevi Fountain, Rome
 เป็นไททันแห่งทะเล และทุก ๆ น่านน้ำ ชอบอยู่กับปฐมเทพแห่งน้ำ "พอนตัส" ณ ส่วนลึกของทะเล อาวุธคือ ตรีศูล (Trident) ภริยาคือ เทธีส (Tethys) (เป็นน้องสาว) มีบุตรสองคน คือ 1) Okeanides และ 2) Potamoi
02 โคออส บ้างก็เรียก โคเออุส บ้างก็เรียก คอยอัส(Coeus or Koios) - เพศชาย
 
เป็นเทพทางทิศเหนือ (North Pole) ไททันแห่งความห่างไกล สายตา (Far-sight) การแก้ไข (Resolve) และสติปัญญา (Intelligence) ต่อมาแต่งงานกับน้องสาว "ฟีบี (Phoebe or Phoibe)"  คำว่า Koios เป็นรากศัพท์ของคำว่า "query, questioning" เป็นบิดาของ  "เลลันทอส (Lelantos)" "ลีโต (Leto)" (ชาย) และ "อัสเตเรีย (Asteria)" (หญิง) 
03 ไครอัส บ้างก็เรียก คริอุส (Crius or Kreios or Krios) - เพศชาย เป็นไททันที่อยู่ทิศใต้ ไครอัสมีชื่อในระบบจักรราศีว่า "The Ram" เป็นเทพแห่งนักษัตร (Constellations) เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิมาจากทางทิศใต้ เป็นจุดเริ่มปีของปีปฏิทินกรีก บุตรชายของไครอัสคือ Astraios หรือ Astraeusเป็นเทพแห่งดวงดาว และภริยาคือ Eurybia เป็นบุตรสาวแห่งท้องทะเล
ไครอัส มีถิ่นพำนักอยู่ในทาร์ทารัส (Tartarus)
04 ไฮเพอเรียนไฮพีเรียน บ้างก็เรียก ฮิปเพอริออน (Hyperion) - เพศชาย
 เป็นไททันทางทิศตะวันออก ไททันแห่งแสง ไฟ พระอาทิตย์ พระจันทร์ และรุ่งอรุณ สัญลักษณ์คือ ดวงอาทิตย์ (The Sun) อาวุธเป็นไฟ และแสง ภริยาคือ เธเอีย (Theia) (เป็นน้องสาวด้วย) มีบุตรสามคน คือ 1) เฮลิออส (Helios 2)อีออส (Eos) และ 3) ซีลีนี (Selene)
05 ไอแอพิตัส  (Iapetus or Japetus, The Piecer) - เพศชาย
 เป็นไททันทางทิศตะวันตก ไททันแห่งความตาย (Titan of Mortality) ความเจ็บปวด (Pain) และความตายที่รุนแรง (Violent Death) สัญลักษณ์คือ หอก (Spear) แต่งงานกับ Klymene-Asie มีบุตรห้าคน คือ 1) Atlas (ชาย) 2)Prometheus (ชาย) 3) Epimetheus (ชาย) 4) Menoitios (ชาย) และ 5) Ankhiale (หญิง) 
06 เธเอีย บ้างก็เรียก ไธอา (Theia) - เพศหญิง
 เป็นไททันหญิง (Titaness) แห่งสายตาและการส่องแสง (Sight and Shining) ภริยาของไฮเพอเรียน เป็นมารดาของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และรุ่งอรุณ มีบุตรสามคน คือ 1) เฮลิออส (Helios) 2) อีออส (Eos) และ 3) ซีลีนี (Selene)
07 เรอา บ้างก็เรียก รีอา (Rhea) - เพศหญิง
 เป็นไททันแห่งการแต่งงาน โลก ความอุดมสมบูรณ์ ภาวะเจริญพันธุ์ การสืบทอดรุ่นสู่รุ่น ความเป็นมารดา ความสะดวกสบาย (Titaness of Marriage, earth, fertility, generation, motherhood, comfort) เรอา แต่งงานกับ โครนอส ซึ่งเป็นน้องชาย ชื่อโรมันของเรอา คือ ไซเบล "Cybele" หรือ ออฟ "Ops". เรอามีบุตรกับโครนอส หกคน คือ 1) Hestia (หญิง) 2) Poseidon(ชาย) 3) Demeter (ชาย) 4) Hera (หญิง) 5) Hades (ชาย) และ 6) "ซูส  Zeus" (ชาย)
08 เธมีส บ้างก็เรียก ธีมิส (Themis) - เพศหญิง
 เป็นไททันหญิงแห่งความยุติธรรม กฎหมาย และคำสั่ง (Titaness of justice, law and order) เธมีส เป็นภริยาตนที่สองของมหาเทพซูส (Zeus - King of Olympus) เธอจะนั่งอยู่ถัดไปจากบัลลังก์ของซูส เพื่อให้คำแนะนำมหาเทพ เธอมีบุตรสององค์กับมหาเทพซูส คือ 1) The Moirai และ 2) the Horae.
09 นีโมไซน์ บ้างก็เรียก นีโมซินี่ (Mnemosyne) - เพศหญิง
 เป็นไททันหญิงแห่งความทรงจำ (Goddess of memory and remembrance) บ้างก็เป็นเทพด้านภาษา (Goddess of words and language) ซึ่งเธอประดิษฐ์ขึ้นมา เธอมีบุตรเก้าตน (ในกลุ่มที่เรียกว่า The Mousai หรือ The Muses) กับมหาเทพซูส (Zeus) ด้วยมหาเทพซูสร่วมหลับนอนกับเธอเก้าคืน ส่งผลให้เธอมีบุตรเก้าตน ในเวลาต่อมา
บุตรของเธอ ประกอบด้วย Kleio, Euterpe, Thaleia, Melpomeme, Terpsikhore, Erato, Polyhymnia, Ourania และ Kalliope
10 ฟีบี้ บ้างก็เรียก ฟีบี (Phoebe or Phoibe) - เพศหญิง
เป็นไททันแห่งความฉลาดปราดเปรื่อง (The Titanis of "Bright" intellect) เธอแต่งงานกับ โคออส (Coeus or Koios) มีบุตรด้วยกันสามตน คือ 1) "ลีโต (Leto)" 2) "อัสเตเรีย (Asteria)" และ 3) "เลลันทอส (Lelantos)
ไม่ค่อยมีการกล่าวถึง ฟีบี้ บ้างนักในปกรณัมกรีก บ้างก็ว่า เธอถูกลงโทษให้อยู่ใน ทาร์ทารัส บ้างก็ว่าเธอเป็นไททันที่สงบและอิสระสถิตย์ ณ เขาโอลิมปัส (Olympus)
11 เทธีส บ้างก็เรียก ทีธิส (Tethys) - เพศหญิง
เป็นภริยาและน้องสาวของ โอเชียนัส (Oceanus or Okeanos) ทั้งสองได้ร่วมกันสร้างแม่น้ำต่าง ๆ และท้องทะเลกว่าสามพันแห่ง มีบุตรด้วยกันสองตน คือ Oceanids และ Potamoi
12 โครนอส บ้างก็เรียก โครนัส (Cronos or Cronus) - เพศชาย
เป็นกษัตริย์แห่งไททัน เป็นบิดาของเทพโอลิมเปียนรุ่นแรก คือ Hestia,DemeterHeraHadesPoseidon, และ Zeus  โครนอสเป็นไททันแห่งจักรวาล (The Titan lord of the universe) โครนอส ปกครองในยุคที่เรียกว่าเป็น "ยุคทอง (Golden Age)" เขาเป็นไททันแห่งกาลเวลา การเก็บเกี่ยว โชคชะตา ความยุติธรรม และความชั่วร้าย โรมันเรียกเขาว่า แซทเทอร์น (Saturn) โดยมี เรอา (Rhea) เป็นภริยา
13 ไดโอนี (Dione) - เพศหญิง (ในภายหลังได้มีการเพิ่มเข้ามาเป็นเทพีไททันองค์ที่ 13)
ไดโอนี มีที่มาจากภาษาลาตินว่า ไดอะนา (Diana) ซึ่งหมายถึง เทพีแห่งท้องฟ้าที่สดใส (The goddess of the bright sky) เป็นไททันหญิง ที่มีปราชญ์ในอดีตให้ข้อมูลที่แตกต่างกันมาก บ้างก็ว่าเธอเป็นบุตรสาวของ โอเชียนัส กับ เทธีส บ้างก็ว่าเธอเป็นบุตรสาวของไกอากับอูรานอส เธอเป็นเทพเจ้าของกรีกด้านความรัก บางครั้งก็กล่าวว่าเธอคือ อะโฟรไดต์ บ้างก็ว่าเธอเป็นมารดาของ อะโฟรไดต์
  • ไกอา และ อูรานอส ก็เริ่มเหินห่าง ทะเลาะกันเอง อูรานอส ตะโกนใส่พวกลูก ๆ บ้าง นับว่า อูรานอสเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง
  • ต่อมา ไกอา และ อูรานอส มาคืนดีกัน ได้กำเนิดแฝดสาม น่าเกลียดน่ากลัวมาก พวกเขาตัวใหญ่ทรงพลังเหมือนไททัน งุ่มง่าม นิสัยห่ามกว่า มีขนทั่วตัว พวกเขาแต่ละตน จะมีดวงตาดวงเดียวอยู่กลางหน้าผาก พวกเขาแฝดทั้งสาม นางไกอา ตั้งชื่อเป็น "ไซคลอปส์อาวุโส {The Elder Kyklopes (Cyclopes)}"12 และท้ายที่สุด พวกเขาก็ให้กำเนิดไซคลอปส์ พันธุ์หลัง ๆ ออกมา
  • อูรานอสจับไซคลอปส์ทั้งสามไว้แน่น แล้วโยนลงสู่ทาร์ทารัส ทำให้ลูก ๆ ที่เป็นไททันทั้งสิบสองตน กลัวเขามาก

ไซคลอปส์ตนที่ชื่อภาพ รายละเอียด15
1 บรอนทีส (Brontes)
ฟ้าลั่น (Thunderer)
2 สเทอโรพีส (Steropes)
ฟ้าแลบ (Flasher/Lightning-Bolt)
3 อาจีส (Arges) บ้างก็เรียก Acmonides หรือ Pyraemon
แสงสว่างวาบ (Brightener/Vivid-Flash)

  • ต่อมา แม้ว่าไกอากับอูรานอสจะทะเลาะกัน ต่างก็ปรับความเข้าใจ ไกอาก็ให้กำเนิดแฝดสามอีกชุดหนึ่ง น่าเกลียดน่ากลัวมากกว่าไซคลอปส์ เพราะแต่ละตนมีแขนหนึ่งร้อยแขนกระจุกรวมกันอยู่ที่หน้าอก เหมือนหนามของเม่นทะเล มีหัวเล็ก ๆ 50 หัวอยู่บนบ่า นางไกอาเรียกพวก ๆ ชุดสามแฝดนี้ว่า "พวกร้อยมือ {Hecatonchires (Hundred-handed-ones)}"
  • อูรานอสก็จับพวกเขาล่ามโซ่แล้วโยนลงทาร์ทารัส เหมือนถังใส่ขยะรีไซเคิลยังไงยังงั้น.
  • ต่อมาบรรดาพวกร้อยมือได้เป็นยามเฝ้าทางเข้าทาร์ทารัส
พวกร้อยมือตนที่ชื่อภาพ รายละเอียด16
1
2
3
 คอตทัส (Cottus)
 เบรียรูส (Briareus)

 ไกจีส (Gyges)
  • ไกอา โกรธ อูรานอส มากที่ทำกับแฝดสามลูกของนางเช่นนี้ นางชูกำปั้นบันดาลให้แผ่นดินสะเทือน นางเรียกสสารที่แข็งที่สุดในปฐพี (Adamant)  เป็นใบมีดเหล็กโค้งยาวประมาณสามฟุต นางนำกิ่งไม้เล็ก ๆ มาประกบเป็นด้ามจับ - นางกล่าวว่าเป็นอุปกรณ์แห่งการล้างแค้น นั่นคือ "เคียว (Scythe)" - (An adamant Scythe)
  • กลับมาที่ไททันกลุ่มแรก. โครนอส (Cronos) ซึ่งสูงประมาณเก้าฟุต เจ้าเล่ห์ "จอมอุบาย" มักเล่นสกปรกในเวลาเล่นมวยปล้ำ ชอบอยู่ในที่ที่ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ รอยยิ้มเหมือนแม่ และมีผมหยักโศกสีเข้ม ความโหดร้ายมาจากพ่อ หนวดเคราน่าสะพรึงกลัว มีกระจุกหนึ่งแทงลงมาจากคาง เขาเกลียดการถูกเมิน เบื่อหน่ายเต็มทีกับการเป็นลูกคนเล็กที่ต้องใส่เสื้อตัวเก่า ๆ ของพี่
  • และแล้วอุบายชั่วร้ายก็ได้อุบัติขึ้น. ไกอาเชิญอูรานอส มาทานในงานเลี้ยงในหุบเขา ลูก ๆ ไททันห้าคนได้ร่วมมือกันลอบสังหารโดยโคออส ไอแอพิตัส ไครอัส และไฮเพอเรียน จับตรึงตัวไว้ ส่วนโครนอสใช้เคียวสังหาร.
  • บางตำรากล่าวว่า ด้วยแผนอันชั่วร้ายของไกอานั้น โครนอสจะต้องรอจนกว่าอูรานอสมาสมสู่กับไกอา เมื่ออูรานอสมา โครนอสซึ่งอยู่ในท้อง ก็จะใช้มีดตัดอวัยวะเพศของอูรานอส แล้วพาพี่น้องหนีออกมา เมื่อสำเร็จตามแผนและออกมาแล้ว โครนอสจะนำอวัยวะเพศของพ่อไปทิ้งทะเล เมื่อตกโดนทะเลก็จะเกิดฟองขึ้นมากมาย ท่ามกลางฟองเหล่านั้น ก็จะเกิดเทพชื่อ อะโฟรไดท์ (Aphrodite) (ในภาษากรีกคำว่า Aphrodite แปลว่า เกิดจากฟอง) และด้วยเหตุนี้อะโฟรไดท์ จึงเป็นเทพีแห่งความรักและตัณหา (เป็นที่มาของคำภาษาอังกฤษ aphrodisiac ที่แปลว่า ยาปลุกอารมณ์ทางเพศ)
  • ก่อนที่อูรานอสจะตาย ก็สาปโครนอสไว้ว่า ต่อไปลูก ๆ ของเจ้าจะมาต่อต้านทรยศเจ้า.
  • เลือดของอูรานอส กระเด็นไปหลายส่วน โลหิตของอูรานอส เป็นสีทองเรียกว่า "อิคอร์ (Ichor)"
  • อิคอร์ กระเด็นไปย้อมหิน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นมา เป็นปีศาจสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือ "เฟียวรี่ หรือ แอเรนเยส (Furies หรือ Erinyes)" กลุ่มที่สอง คือ "ไจแอ้นท์ส์ (Giants)"18 กลุ่มที่สามคือ "มีเลีย (Meliae)" หรือพวกผีสางนางไม้ต่าง ๆ (Nymphs) 
                    
ภาพแรกด้านซ้าย: ภาพเฟียวรี่สองตน พบในหนังสือช่วงคริสตศตวรรษที่สิบเก้า ซึ่งคัดลอกมาจากแจกันโบราณ
ภาพที่สองด้านขวา: เทพโพไซดอนถือตรีศูล (Trident) แล้วแบกเกาะนิซิรอส (Nisyros) (เป็นเกาะเล็ก ๆ ในทะเลเอเจียน) ไว้บนบ่า ทำสงครามกับไจแอ้นท์ส์ ปรากฎในถ้วยแดงโบราณ ช่วง 500-450 ปีก่อนคริสตกาล ณ พิพิธภัณฑ์ด้านศิลปะ ปารีส ฝรั่งเศส (Cabinet des Medailles)

 
  • เฟียวรี่เป็นจิตวิญญาณแห่งการลงทัณฑ์ พวกมันบินหนีไปสู่ส่วนมืดของทาร์ทารัส
  • อิคอร์ส่วนอื่น ๆ ของเทพท้องฟ้าได้กระเด็นลงบนดินอันอุดมสมบูรณ์ เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งธรรมชาติที่จิตใจอ่อนโยน รวมทั้งพวกนางไม้ และเซเทอร์ (Satyr)19

ภาพเซเทอร์ หน้าผากกว้าง ไว้เครา มีหางเป็นม้า กำลังใช้อวัยวะเพศยกแก้วไวน์
(เป็นภาพที่พบในหม้อของกรีกโบราณ อายุช่วง 500-490 ปีก่อนคริสตกาล)

 
  • โครนอส แบกซากเทพท้องฟ้า (Ouranos) ไปทิ้งทะเล โลหิตผสมน้ำเค็มเกิดเป็น....
  • อูรานอส ก็เปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ สู่ห้วงอวกาศ ไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ มามีบทบาทในโลกได้ได้อีก
  • ไกอา ตั้ง โครนอส เป็นเจ้าแห่งเอกภพ นางทำมงกุฎพิเศษให้เขา.
  • โครนอสก็รักษาสัญญา (ที่ทำไว้กับพี่ ๆ ไททันทั้งสี่ ก่อนที่จะสังหารอูรานอส) โดยยกสี่มุมโลกให้พี่ ๆ ไปปกครอง ไอแอพิตัส - ไททันแห่งทิศตะวันตก, ไฮเพอเรียน - ไททันแห่งทิศตะวันออก, โคออส - ไททันแห่งทิศเหนือ, ไครอัส - ไททันแห่งทิศใต้.
ที่มาและคำอธิบาย:
01.  ผมใช้ข้อมูลภาพประกอบจากหลาย ๆ แหล่ง แต่จะใช้โครงเรื่องคำอธิบายหลักมาจาก.หนังสือสามเล่ม คือ
       หนึ่ง: เรื่อง "เพอร์ซี่ แจ๊กสัน กับเรื่องเล่าของเหล่าเทพ (Percy Jackson's Greek Gods)" ที่เขียนโดย Rick Riordan แปลโดย ดาวิษ ชาญชัยวานิช สำนักพิมพ์เอ็นเธอร์บุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2559 ผนวกกับ
       สอง: หนังสือ "สัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีก-โรมัน" เรียบเรียงโดย Dr.Know ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 มิถุนายน 2558 ยิปซี สำนักพิมพ์ และ
       สาม: หนังสือ "Mythology ทวยเทพและตำนานสัตว์ประหลาดกรีก-โรมัน - สารานุกรมความรู้ต้นอารยธรรมตะวันตก" เรียบเรียงโดย Dr.Know ฉบับพิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ 2557 ยิปซี สำนักพิมพ์ เป็นแกนหลักในการรจนา.
02.  เคออส ตามรากศัพท์แปลว่า Gap หรือช่องว่าง. เคออส (Chaos) เป็นความเวิ้งว้างมหึมา หาขอบเขตมิได้ เคออส นั้นเป็นเทพแห่งการทำลาย
03.  จาก. enwikipedia.org/wiki/Uranus_(mythology), ไกอา บ้างก็เรียก จีอา (Gaia) เป็นชื่อเรียกของ Greek ซึ่ง Roman เรียกว่า "เธร่า (Terra)", วันที่สืบค้น 07 กันยายน 2559.
04.  จาก. enwikipedia.org/wiki/Uranus_(mythology), อูรานอส เป็นคำเขียนว่า "ยูเรนัส (Uranus)" (หรือดาวมฤตยู) อีกแบบหนึ่ง Roman เรียกว่า "ไคลัส (Caelus)", วันที่สืบค้น 07 กันยายน 2559.
05.  จาก. Glyptonik Munich, Aeon-Uranus & Zodiac-Wheel, Greco-Roman mosaic C3rd A.D. (สองภาพซ้าย), จาก. Muse'e de L'Arcles Antique, Arles, France (ภาพขวา).
06.  นิกส์ (Nyx) เป็น เทพีแห่งราตรีหรือรติกาล (Greek goddess of the night) บางตำราก็กล่าวว่าเนื่องด้วย ความว่างเปล่าที่สับสนวุ่นวาย การตกตะกอน กำเนิดเป็นสิ่งแรกคือ "หลุมดำเอรบัส (Erebus)" อันเป็นต้นกำเนิดของนิกส์
07.  เฮเมร่า (Hemera) เป็น Day
08.  อีรอส (Eros) หากเป็นเทพที่โรมันเรียก ก็จะเป็น "คิวปิด (Cupid)"
09.  อะโฟรไดต์ (Aphrodite) โรมันเรียก "วีนัส (Venus)"
10.  ปรับปรุงจาก. th.wikipedia.org/wiki/ไททัน_(เทพปกรณัม) และ en.wikipedia.org/wiki/Titan_(mythology), วันที่สืบค้น 21 กันยายน 2559, ไททัน (Titan) เป็นเทพสิบสององค์ที่เรืองอำนาจในช่วงยุคทอง (Golden Age) และถูกล้มล้างอำนาจไปโดยเทพโอลิมปัส (Olympian) เทพไททันสิบสององค์ที่เป็นบุตรของอูรานอสและไกอา ประกอบด้วย 1) โอเชียนุส (Oceanus) 2) โคเออุส (Coeus) 3) คริอุส (Crius) 4) ฮิปเพอริออน (บ้างก็เรียก ไฮพีเรียน) (Hyperion) 5) ไอแอพิทัส (Iapetus) 6) ไธอา (Theia) 7)รีอา (Rhea) 8) ธีมิส (Themis) 9) นีโมซินี (Mnemosyne) 10) ฟีบี (Phoebe) 11) ทีธิส (Tethys) 12) โครนัส (Cronus) และในภายหลังได้มีการเพิ่ม ไดโอนี (Dione) เข้ามาเป็นเทพีไททันองค์ที่ 13 ด้วย. 
11.  ปรับปรุงจาก. greekmythology.wikia.com/wiki/..., วันที่สืบค้น 23 กันยายน 2559.
12.  ไซคลอปส์ (Cyclops)  (Cyclopes - พหูพจน์) มีตาดวงเดียวอยู่กลางหน้าผาก คำว่า ไซคลอปส์ แปลว่า ตาเป็นวงกลม (round-eyed หรือ circle-eyed) มีฝีมือในด้านช่างเหล็ก (Builders and Craftsmen)
13.  โฮเมอร์ (Homer) เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นผู้ประพันธ์ "อิลเลียด (Iliad)" และ "ออเดสซี (Odyssey)" ได้รับการยอมรับจากชาวกรีกโบราณในฐานะที่เป็นมหากวีท่านแรกและผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ประพันธ์วรรณกรรมยุโรปอันเป็นที่รู้จักท่านแรก ท่านเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อประกายองค์ความรู้นี้ในยุโรป (ปรับปรุงจาก en.wikipedia.org/wiki/Hesiod, วันที่สืบค้น 6 ตุลาคม 2559)
14.  ฮีเซียด (Hesiod) เป็นกวีชาวกรีก มีชีวิตอยู่ในช่วง 750-650 ก่อนคริสต์กาล ยุคเดียวกับโฮเมอร์ (ที่มา en.wikipedia.org/wiki/Hesiod, วันที่สืบค้น 6 ตุลาคม 2559).
15.  ภาพกับชื่อไซคลอปส์อาวุโส 
{The Elder Kyklopes (Cyclopes)} ไม่ตรงกัน เพราะจากการสืบค้น จะได้ภาพบอกชื่อรวม ๆ ไม่ได้ระบุว่าเป็นภาพของไซคลอปส์ตนใด แต่ได้แสดงไว้เป็นแนว ซึ่งไซคลอปส์อาวุโสนี้ มีความสามารถด้านการตี หล่อเหล็กมาก.
16.  ภาพกับชื่อพวกร้อยมือ 
{Hecatonchires (Hundred-handed-ones)} ไม่ตรงกัน เพราะจากการสืบค้น จะได้ภาพบอกชื่อรวม ๆ ไม่ได้ระบุว่าเป็นภาพของร้อยมือตนใด แต่ได้แสดงไว้เป็นแนว.
17.
ชื่อเทพกรีก (Greek God)เทียบเท่ากับชื่อเทพโรมัน (Roman Mythology)หรือภาษาละติน
ไกอา (Gaia or Gaea)เธร่า (Terra)
อูรานอส หรือยูเรนัส (Ouranos or Uranus)ไคลัส (Caelus)
อีรอส (Eros)คิวปิด (Cupid)
อะโฟรไดต์ (Aphrodite)วีนัส (Venus)
โครนอส หรือ โครนัส (Cronos or Cronus)แซทเทิร์น (Saturn)
ซูส (Zeus)จูปิเตอร์ (Jupiter)
เฮรา (บ้างก็เรียก ฮีรา) (Hera)ยูโน (บ้างก็เรียก จูโน) (Juno)
โพไซดอน (Poseidon)เนปจูน (Neptune)
เฮเดส (Hades)พลูโต (Pluto)
อีออส (Eos)ออโรร่า (Aurora)
ซีลีนี (บ้างก็เรียก เซลีน) (Selene)ลูน่า (Luna)
HephaistosVulcan
ดีมิเทอร์ (Demeter)ซีริส (Ceres)
ApolloApollo
AthenaMinerva
ArtemisDiana
AresMars
HermesMercury
ไดโอไนซัส (Dionysus)Bacchus
เฮสเทีย (Hestia)เวสต้า (Vesta)
PersephoneProserpine

18. ไจแอ้นท์ส์ (The Giants) บ้างก็เรียก ไจแกห์นทีส์ (Gigantes) นั่นคือพวกยักษ์ มุทะลุ รูปร่างใหญ่โต ต่อมาได้ต่อสู้กับเหล่าเทพแห่งโอลิมปัส (Olympian gods)
19. จาก. th.wikipedia.org/wiki/เซเทอร์, วันที่สืบค้น 9 พ.ย.2559, "เซเทอร์ (Satyr) ตามตำนานเทพปกรณัมกรีก เป็นมนุษย์ในวัยหนุ่ม มักมีหูเป็นม้า มีเขาเล็กเหมือนแพะ มีขาเป็นแพะ มักท่องเที่ยวในป่าและภูเขา บางตำราบอกว่าเป็นเทพารักษ์ อีกทั้งยังเป็นผู้ติดตามของเทพแพน (Pan) และเทพไดโอไนซัส (Dionysus) อีกด้วย ในเทพปกรณัม เซเทอร์เกี่ยวข้องกับพลังทางเพศของเพศชายและผลงานศิลปกรรมกรีก-โรมัน มักสร้างภาพของเซเทอร์ให้มีอวัยะเพศที่ตั้งชูชัน. 


credit http://huexonline.com/knowledge/23/146/

ลักษณะของเด็กวัยประถมศึกษา

ลักษณะของเด็กวัยประถมศึกษา  (อายุ  6  –  12 ปี) พัฒนาการทางร่างกาย                                1.      การเจริญเติบโตของร่างกายของ...